Custom Search

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Animal Therapy เพื่อนรักบำบัดโรค


          สัตว์บำบัด (Animal Therapy) เป็นศาสตร์หนึ่งของการแพทย์ทางเลือกในปัจจุบัน เริ่มนิยมแพร่หลายในโลกตะวันตกช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับผู้ป่วยโรคทางจิตเวชและกล้ามเนื้อ แต่สำหรับการแพทย์ทางเลือกของไทย สัตว์บำบัดที่เข้ามามีบทบาทเป็นรูปธรรมมากที่สุดคือ การบำบัดเด็กพิเศษด้วยม้าหรืออาชาบำบัด

ม้าบำบัด .... สัญชาติญาณเสริมสร้างพัฒนาการ 
          ในทวีปยุโรปและอเมริกา "ม้าบำบัด" หรือ Horse Therapy หรือ Hippotherapy เกิดขึ้นราว ค.ศ.1900 เริ่มต้นด้วยแนวคิดที่ว่า "การเคลื่อนไหวของม้าใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวร่างกายของมนุษย์มากที่สุด ขณะอยู่บนหลังม้าคนกับม้าจะเคลื่อนไหวด้วยความรู้สึกเดียวกัน ไปพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดสมาธิ สติ และสมดุลในร่างกาย"
          ส่วนม้าบำบัดในเมืองไทย เฉพาะภาครัฐ พ.ต.อ.วุฒิวงศ์ มงคลนาวิน ผู้กำกับการ 4 (ตำรวจม้า) กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ผู้ก่อตั้งม้าบำบัดแห่งแรก เล่าว่า "เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2548 เกิดจากความต้องการที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประชาชน รวมทั้งใช้ทรัพยากรที่มีทั้งม้าและตำรวจในสังกัด ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากที่สุด หลักการง่ายๆของม้าบำบัดคือโดยธรรมชาติ คนเราเวลาขี่ม้ามักจะกลัวตก ทำให้เกิดสติระแวดระวังภัย ส่งผลให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายถูกกระตุ้นและทำงานประสานกันอย่างเต็มที่ เป็นการช่วยฟื้นฟูได้ทั้งสภาพกายและจิตใจ"
          ปัจจุบันได้มีโครงการ "ม้าบำบัดเพื่อเด็กพิเศษ" ซึ่งให้บริการแก่เด็กที่มีอาการผิดปกติต่างๆ เช่น ออทิสติก พิการทางสมอง ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ สมาธิสั้น พัฒนาการไม่เป็นตามวัย ฯลฯ ก่อนจะเริ่มโครงการต้องมีการคัดตำรวจอาสาสมัครเพื่อเข้ารับการฝึกบังคับม้าและจิตวิทยาเพื่อดูแลเด็ก จากนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ แห่งศูนย์ Naplesequestrianchallenge อเมริกา โดยม้าที่ใช้บำบัดต้องได้รับการฝึกพิเศษกว่า 52 สัปดาห์ ในขณะบำบัดบนหลังม้า ตำรวจพี่เลี้ยงจะคอยชวนเด็กพูดคุย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและยอมรับความรู้สึกผ่านทางการเคลื่อนไหวของม้า เมื่อครบระยะทางการบำบัด 1 กิโลเมตร จะมีกิจกรรมกลุ่มคือการกายบริหารบนหลังม้า เพื่อเสริมให้เด็กๆ เรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคม ร่วมกับเพื่อนๆ ที่เข้ารับการบำบัด

สัตว์เลี้ยงบำบัดโรคได้อย่างไร
          ลองนึกภาพขณะเล่นกับสัตว์เลี้ยงหรือเข้าเยี่ยมชมสวนสัตว์หรือแม้แต่โชว์ของสัตว์ต่างๆ เสียงหัวเราะและความประทับใจที่เกิดขึ้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับการบำบัดความเครียดในคนปกติ ส่วนคนสูงอายุหรือคนป่วยที่มีปัญหาทางกล้ามเนื้อ เมื่อได้เล่นกับสัตว์เลี้ยง สัมผัสด้วย การแปรงขน ให้อาหาร จูงสัตว์เลี้ยงเดินเล่น ก็เป็นการฝึกพัฒนาการกล้ามเนื้อไปพร้อมกับบำบัดจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด ได้อีกด้วย
ส่วนคนไข้ป่วยหนักที่ลุกออกจากเตียงไม่ได้ การได้เห็นหรือได้สัมผัสกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรดจะช่วยให้ลืมความเจ็บปวดจากโรคร้ายและยืดเวลาอยู่บนโลกนี้ให้นานขึ้นได้ จากผลการสำรวจผู้ป่วย 92 รายในโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านโรคหัวใจ ในนิวยอร์กพบว่า ผู้ป่วยที่มีสัตว์เลี้ยงอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง เนื่องเพราะสัมผัสจากสัตว์เลี้ยงช่วยลดความดันโลหิต ปรับสมดุลความเครียด จึงทำให้ร่างกายและจิตใจสดใสแข็งแรง หรือแม้แต่ในเด็กพิเศษ สัมผัสและกิริยาที่ใสซื่อของสัตว์ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยให้เด็กเหล่านี้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง และมีชีวิตที่ปกติในสังคมได้
          ในประเทศไทย การบำบัดโรคด้วยสัตว์หรือสัตว์เลี้ยงบำบัด ถือเป็นเรื่องของวงการแพทย์ทางเลือก ถึงแม้ยังไม่มีหน่วยงานดูแลและพัฒนาการบำบัดแบบนี้อย่างชัดเจน แต่ก็มีหลายโรงพยาบาลที่เริ่มใช้สัตว์เลี้ยงมาช่วยรักษาอาการของผู้ป่วย ที่สถาบันราชานุกูลและบ้านพักคนชราก็มีการทดลองใช้สัตว์เลี้ยงบำบัดกับผู้ป่วยทางจิตและคนชรา คล้ายกับที่หน่วยงานตำรวจใช้ม้าในการบำบัดเด็กพิเศษ
          อันที่จริงแล้วสัตว์เลี้ยงทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น สุนัข แมว นก ปลา หรือสัตว์อื่นๆ ที่ผู้ป่วยชื่นชอบ สามารถใช้ในการบำบัดโรคได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับอาการป่วย เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้ร่วมด้วยไม่เหมาะกับการใช้สัตว์ที่มีขนยาวในการบำบัดโรค เป็นต้น

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การฝึกพูดสำหรับเด็กออทิสติก

เรียบเรียงโดย ลัดดาวัลย์  นาขันที

          ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจคำพูดตลอดจนการพูดสื่อความหมาย เป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กออทิสติก   ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการทางภาษา และการพูดเมื่อถึงวัยอันสมควร ก่อให้เกิดความวิตกกังวลแก่บรรดาบิดามารดา  ผู้เกี่ยวข้องและผู้อยู่ใกล้ชิดเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามจะต้องคำนึงถึงกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดความสามารถในการพูดสื่อความหมายของเด็กปกติเสียก่อน บิดามารดาและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กถือว่าเป็นบุคคลสำคัญอย่างมากในการสอนพูดเด็กต้องแสดงให้เด็กเห็นความสำคัญของการพูด กระตุ้นให้เด็กสนใจการพูด โดยใช้กิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้การพูด เช่น การกระตุ้นด้วยของเล่นที่มีเสียง การพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ  ในชีวิตประจำวัน สอนให้เด็กเรียกชื่อสิ่งของที่คุ้นเคย ชื่ออวัยวะของร่างกาย ทำท่าประกอบเพลง  เล่านิทานจากภาพ ฯลฯ ทุกอย่างที่กล่าวมาเด็กต้องได้รับการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและกระทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้การฝึกพูดได้ผลดี พัฒนาการทางภาษา และการพูดของเด็กออทิสติก   จัดระดับความสามารถของการพูดและการใช้ภาษาไว้  10  ระดับ
เรียงจากน้อยไปหามากดังนี้


ระดับ
การแสดงออก
1
-  เงียบเฉย ไม่ออกเสียง
- ร้องไห้บ้าง ไม่มาก
- ส่งเสียงเมื่อไม่สบายบ้าง
2
- ออกเสียงบ้าง แต่เป็นเสียงเดียวซ้ำ
- ส่งเสียงเบาๆในคอ ส่งเสียงดัง เค้นเสียง กรีดร้องเมื่อตื่นเต้นตกใจ
- ส่งเสียง อา อี มากขึ้น    แต่เป็นเสียงที่มีระดับเดียวกันเสมอต้นเสมอปลาย
3
- เปลี่ยนความดังและระดับเสียงได้มากขึ้น
- ส่งเสียงเป็นทำนอง
- ออกเสียงพยัญชนะ ค / ล / ก / บ / ประกอบสระอูได้ดี
- ออกเสียงเป็นทำนองซ้ำๆ
- ส่งเสียงอ้อแอ้ขณะอยู่ตามลำพัง
- หัวเราะเองไม่มีเหตุ
4
- ส่งเสียงอ้อแอ้มากขึ้น
- ออกเสียงพยางค์เปิด (พยัญชนะผสมสระ)เช่น  มา ปู  ปี  ฯลฯ  บ่อย ๆ
- เริ่มมีการออกเสียงวลีซ้ำๆ
5
- ออกเสียงเลียนแบบตัวอย่างที่เคยได้ยินมาก่อน
- เลียนแบบเสยงคำพูดบ่อยมากขึ้น
6
- ส่งเสียงคำที่ไม่มีความหมายบ่อยมาก
- ส่งเสียงคล้ายคำพูด แต่ฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร แทนความหมายใดๆ
7
- เริ่มบอกชื่อ สิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้บ่อยได้ถูก
- บอกชื่อบุคคล สมาชิกในครอบครัวได้ถูกต้อง
8
- ออกเสียงเป็นประโยคที่ประกอบด้วยคำ 3 คำได้ถูก (ใช้ถูกความหมาย)
- เรียกชื่อตนเองได้ถูกต้อง
9
- ใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 แทนตัวเองได้ถูกต้องและคล่อง
10
- ออกเสียงประโยคยาว ๆ สื่อความหมาย และโต้ตอบได้ถูกต้อง


          ความหมายในการแสดงออกทางการพูดตามระดับต่าง ๆ สามารถกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการมากขึ้นมาได้ทุกระดับ ไม่จำกัดอายุ  และระยะเวลา ความสามารถในการพูดสื่อ ความหมายจะมีมากน้อยนั้น ส่วนหนึ่งก็ต้องอาศัยจำนวนศัพท์ที่เรียนรู้ และความสามารถในการเชื่อมโยงความหมายให้เหมาะสมกับสถานการณ์

          ข้อควรปฏิบัติที่จะช่วยให้เด็กออทิสติกพูดได้เหมาะสมตามวัย
     1. พยายามพูดกับเด็กเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กกำลังมองหรือกำลังกระทำอยู่   เช่น   เห็นเด็กกำลังมองพัดลมควรพูดกับเด็กทันทีช้า ๆออกเสียงให้ชัดเจน ว่า   “พัด ลม”    “พัด ลมเพื่อเป็นการสร้างเป้าหมายในการมองอย่างมีความหมาย
     2. ขณะที่มีเสียงหนึ่งเสียงใดเกิดขึ้นรอบตัว  เช่น   เสียงหมาเห่า ควรชี้ชวนให้เด็กสนใจฟังอย่างสม่ำเสมอ  เพื่อเป็นการสร้างเปาหมายในการฟังให้มีความหมาย
     3. ขณะที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งให้กับเด็ก จงพูดให้เด็กฟังถึงสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่  เช่น ขณะที่กำลังใส่กางเกง ควรสอนให้เด็กได้เรียนรู้ว่าสิ่งต่างๆมีชื่อเรียกอย่างไร เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้คำศัพท์และเนื้อหาของคำศัพท์
     4. ควรสอนจากความเข้าใจคำศัพท์ ก่อนนำมาสู่การพูด
     5. ควรสอนเด็กให้พูดโดยใช้คำนามที่มองเห็นเป็นรูปธรรม  เช่น  เริ่มสอนเรียกพ่อ แม่ ชื่ออวัยวะ พร้อมทั้งจับมือแตะส่วนนั้นๆ
     6. ควรให้เด็กมีโอกาสเปล่งเสียงออกมาบ้าง    โดยสอนพูดนำแล้วเว้นระยะให้เด็กออกเสียง รอเวลาอย่าเร่งให้เด็กพูด
     7. ควรเป็นแบบอย่างในการพูดที่ดีให้แก่เด็ก คือ พูดให้ชัดเจน ใช้คำถูกต้อง
     8. อาจสอนโดยใช้โคลงกลอนหรือเพลง   เช่น   “ลูกเป็ดมันร้อง  (ก๊าบ ก๊าบ)   ลูกไก่มันร้อง (เจี๊ยบ เจี๊ยบ)   ลูกหมามันเห่า  (บ๊อก บ๊อก)   ลูกแมวมันร้อง  (เมี๊ยว เมี๊ยว)”    จะทำให้เด็กรู้สึกพอใจ สนุกที่จะเปล่งเสียงพูดได้
     9. เด็กบางรายอาจต้องใช้เทคนิคพิเศษเพื่อดึงความสนใจ และสร้างความพร้อมในการสอนภาษาและการพูด โดยเตรียมการมอง การฟังอย่างมีความหมาย ฝึกการเคลื่อนไหวปากลิ้น  การเปล่งเสียง

          การฝึกพูดเด็กออทิสติก
     เมื่อเด็กเริ่มมีความเข้าใจ และมีความพร้อมในการสอนพูด อาจใช้เทคนิคเพื่อช่วยให้เด็กนึกคำตอบและสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ง่าย ดังนี้
     1. การพูดตาม เช่น
          ขั้นที่ 1 : ผู้สอนถาม นี่อะไรผู้สอนตอบ ปลา
          เด็กพูดตาม ปลา
          ขั้นที่ 2 : ผู้สอนถามซ้ำนี่อะไร
          เว้นระยะให้เด็กตอบ ปลา
     2. การพูดต่อคำ เช่น
          ขั้นที่ 1 : ผู้สอนถาม นี่อะไรผู้สอนตอบ กระต่าย
          เด็กพูดตาม กระต่าย
          ขั้นที่ 2 : ผู้สอนถาม นี่อะไรผู้สอนตอบนำคำแรก กระ……”
          เว้นระยะให้เด็ก  ต่อคำ “……..ต่าย
          ขั้นที่ 3 : ผู้สอนถามซ้ำนี่อะไร
          เด็กตอบซ้ำทั้งคำ กระต่าย
     3. การพูดต่อเสียง เช่น
          ขั้นที่ 1 : ผู้สอนถาม นี่อะไรผู้สอนตอบ หมา
          เด็กพูดตาม หมา
          ขั้นที่ 2 : ผู้สอนถาม นี่อะไรผู้สอนตอบนำเสียง อึม……” (ลากเสียง)
          เว้นระยะให้เด็กต่อเสียงให้เป็นคำ หมา
          ขั้นที่ 3 : ผู้สอนถามซ้ำนี่อะไร
          เด็กตอบซ้ำทั้งคำ หมา
     4. การเดาจากรูปปาก เช่น
           ขั้นที่ 1 : ผู้สอนถาม นี่อะไรผู้สอนตอบ ปาก
          เด็กพูดตาม ปาก
          ขั้นที่ 2 : ผู้สอนถาม นี่อะไรผู้สอนปิดริมปากแน่นขณะเด็กมองปาก
          เว้นระยะให้เด็กตอบ ปาก
          ขั้นที่ 3 : ผู้สอนถามซ้ำนี่อะไร
          เด็กตอบซ้ำ ปาก

          เทคนิคการช่วยเหลือในการฝึกพูด
     เทคนิคการช่วยเหลือในการฝึก เรียงจากง่ายไปยาก  ดังนี้
          1. ช่วยจับทำ
          คือ   เมื่อสั่งให้เด็กทำกิจกรรมใดๆ ก็ตามถ้าเด็กไม่แสดงการรับรู้      รับฟังหรือปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้     ให้จับมือทำกิจกรรมนั้นซ้ำๆ    โดยช่วยจับมือทำในทุกขั้นตอนที่ต้องการฝึก และพูดบอกเป็นระยะ   เพื่อเป็นการชักนำให้เด็กเกิดความเข้าใจ  และทำกิจกรรมตามคำสั่งหรือคำพูดได้
          2. แตะนำ
          คือ   การลดความช่วยเหลือจากการช่วยเหลือจากการช่วยจับทำลง โดยแตะหลังมือข้อมือ  หรือข้อศอกเด็ก   เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสทำกิจกรรมด้วยตนเองในขั้นตอนสุดท้าย
          3. เลียนแบบ
          คือ การลดความช่วยเหลือ   จากการแตะนำลงโดยทำให้เด็กดู   แล้วให้เด็กทำตามเป็นการสอนให้เด็กเรียนรู้ถึงการเลียนแบบตั้งแต่การเคลื่อนไหวร่างกายที่เห็นได้ชัดเจน  ไปจนถึงการเลียนแบบการพูดต่อไป
          4. ทำตามคำสั่ง
          คือ   เด็กสามารถเข้าใจคำพูดของผู้สอนและปฏิบัติตามคำสั่งได้ โดยไม่ต้องให้การช่วยเหลือข้างต้นใด ๆ  ซึ่งแสดงว่าเด็กมีความเข้าใจความหมายของคำพูด และมีความพร้อมที่จะฝึกการเปล่งเสียงพูดอย่างมีความหมายได้ต่อไป


เอกสารอ้างอิง
ศรีทนต์ บุญยานุกูล. ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา   คณะแพทยศาสตร์   มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
คู่มือฝึกพูดเด็กออทิสติกสำหรับผู้ปกครอง.โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ จังหวัดสมุทรปราการ .


วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โรคเอ๋อ (ภาวะขาด ธัยรอยด์ฮอร์โมน) ในเด็ก

          คุณพ่อ คุณแม่หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องโรคเอ๋อกันจากรายการวิทยุ หรืออ่านจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่คงจะไม่รู้จักในรายละเอียดกันว่า โรคเอ๋อจริงๆนั้นเป็นอย่างไร และลูกของเรานั้นเป็นโรคเอ๋อหรือไม่ จะมีวิธีการตรวจได้อย่างไร หรือถ้าเป็นแล้วจะรักษาได้ไหม

          โรคเอ๋อ นั้นเป็นที่เรียกกันให้เข้าใจง่าย เพราะเป็นภาษาชาวบ้านที่ใช้ เรียก เด็กที่มีภาวะปัญญาอ่อน ที่พบบ่อยตามหมู่บ้านบางแห่ง ในภาคเหนือ และ ภาคอีสานของไทย ซึ่งเมื่อเข้าไปศึกษาดู สาเหตุของภาวะปัญญาอ่อน ในเด็กเหล่านี้แล้วก็พบว่า เกิดจากการขาด ธัยรอยด์ฮอร์โมน

          ธัยรอยด์ฮอร์โมนนั้น คือ ฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมธัยรอยด์ ซึ่งก็คือต่อมที่อยู่ตรงบริเวณคอ ตรงที่เรียกกันว่า ลูกกระเดือก หรือ คอหอย ในคอของทุกคนนั่นเอง ต่อมธัยรอยด์นี้จะสร้างฮอร์โมน ที่มีความสำคัญมาก เพราะจะมีผลทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายรวมทั้ง สมอง มีการเจริญเติบโต โดยการทำงานร่วมกับ ฮอร์โมนอื่นๆ ในร่างกาย ทำให้มีการเจริญเติบโต ของกระดูก และ ฟัน การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ฯลฯ

          ดังนั้นการขาดธัยรอยด์ฮอร์โมน จึงมีผลทำให้ผู้นั้นเกิดความเฉื่อยชา รู้สึกหนาวง่าย และจะไม่ค่อย เจริญเติบโตสมวัย ไปถึงขั้นมีความเสื่อมของสติปัญญา ได้

          ปัญหาโรคเอ๋อในเด็กนั้น จะเกิดได้ ใน 2 ลักษณะ คือ
          แบบแรก  ทารกเกิดมา โดยมีการผิดปกติของการสร้าง ธัยรอยด์ฮอร์โมน ตั้งแต่กำเนิด ซึ่งอาจเป็นจากที่เกิดมา โดยไม่มีต่อมธัยรอยด์นี้มาด้วย หรือ ถ้ามีก็อยู่ผิดที่ และไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ แต่ทารกที่คลอดออกมานั้น จะดูไม่ออกว่ามีปัญหานี้ เนื่องจากตอนที่ทารกอยู่ในครรภ์นั้นทารกจะ ได้รับธัยรอยด์ฮอร์โมน จากแม่มาช่วยในการเจริญเติบโต ระหว่างอยู่ในครรภ์ แต่ต่อมา ไม่นาน (เพียงไม่กี่สัปดาห์) ก็จะมีภาวะขาดธัยรอยด์ฮอร์โมน ทำให้ทารกมีลักษณะเซื่องซึม, เอาแต่นอน, ทานนมไม่เก่ง, ท้องผูก, ท้องอืด, สะดือจุ่น, มีภาวะตัวเหลืองหลังคลอด นานกว่าปกติ , ไม่ค่อยร้องกวน (ทำให้คุณพ่อ คุณแม่ บางคนคิดว่า ลูกเป็นเด็กเลี้ยงง่าย) ร้องเสียงแหบ ดูลิ้นใหญ่ จุกปาก, ผิวแห้งเย็น, เติบโตช้า , มีการพัฒนาการช้ากว่าเกณฑ์อายุในทุก ๆ ด้าน เช่น เด็กอายุ 3 เดือน ควรจะ ชันคอได้ดีแล้ว แต่เด็กที่มีปัญหาโรคเอ๋อจะยังคอไม่แข็ง ไม่สามารถยกศีรษะให้ตั้งอยู่ได้นาน

          ในประเทศไทยเรานั้นยังพบว่า มีสาเหตุพิเศษ อีกอย่างหนึ่ง คือ การที่คุณแม่มีปัญหาขาด ธัยรอยด์ฮอร์โมน หรือ ขาดไอโอดีน ในระหว่างการตั้งครรภ์ เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่ขาดสารไอโอดีน ในอาหาร และ น้ำดื่ม เช่น บางอำเภอทางภาคเหนือ หรือ บนภูเขาที่ทุรกันดาร และ บางจังหวัดทางภาคอีสาน ทำให้พบว่า เด็กในบางหมู่บ้าน เป็นโรคเอ๋อกันมาก

          แบบที่สอง  คือ ภาวะการขาด ธัยรอยด์ฮอร์โมนที่มาเป็นภายหลัง เช่น มีการติดเชื้อของต่อมธัยรอยด์ หรือ ได้รับยาบางชนิดที่รบกวน การทำงานของต่อมธัยรอยด์ ทำให้มีการสร้างธัยรอยด์ฮอร์โมนน้อยลง จนทำให้เกิดอาการเอ๋อได้ เด็กที่เกิดมาจะดูเป็นปกติ และ ในช่วงแรกก็มี การเจริญเติบโต และ พัฒนาการได้สมวัย แต่เมื่อเริ่มมีการขาดธัยรอยด์ฮอร์โมน ก็จะมีอัตราการเจริญเติบโต ค่อยๆช้าลง และเริ่มมีอาการ ของการขาดธัยรอยด์ฮอร์โมน ให้เห็นชัดเจนขึ้น เด็กจะมี ตัวเตี้ย เฉื่อยชา และ มีอายุกระดูกช้า (จากการตรวจดูอายุกระดูก โดยการเอกซ์เรย์ )

          ซึ่งถ้าพบว่า ทารกรายใดมีผลเลือดผิดปกติ ก็จะได้มีการติดตามทารกรายนั้นมา ทำการตรวจเลือดเพิ่มเติม เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และเริ่มการรักษาด้วย ธัยรอยด์ฮอร์โมน ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่ทารกจะมีอาการของโรคเอ๋อ และ สามารถป้องกันการเกิดภาวะปัญญาอ่อนได้ ทำให้ทารกนั้นมีการเจริญเติบโต และ พัฒนาการได้อย่างปกติ

ฮอร์โมนที่มีผลอย่างชัดเจนต่อการเจริญเติบโตในเด็ก


          ฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (Growth Hormone) 
          ถูกสร้างขึ้นจากต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) อันเป็นต่อมขนาดเล็กอยู่บริเวณฐานของสมอง ฮอร์โมนนี้มีความจำเป็นโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย หากเกิดการเสียสมดุลของระดับฮอร์โมนนี้ขึ้นเมื่อใด จะส่งผลกระทบที่สังเกตได้อย่างชัดเจน

          ธัยร๊อกซิน (Thyroxine)
          หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า ธัยรอยด์ฮอร์โมน ถูกสร้างและหลั่งจากต่อม ธัยรอยด์ที่อยู่บริเวณลำคอ มีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นระบบการเผาผลาญอาหารของร่างกาย และช่วยให้ กระดูกมีพัฒนาการอย่างปกติ

          แอนโดรเจน (Androgen) 
          ก็คือฮอร์โมนเพศชายนั่นเอง ถูกสร้างขึ้นที่อัณฑะและต่อมหมวกไตในเด็กชาย ในเด็กหญิงก็มีบ้างแต่ในปริมาณที่น้อย โดยถูกสร้างจากรังไข่และต่อมหมวกไต แอนโดรเจนจะทำงานร่วมกับฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตในการกระตุ้นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเด็กชายช่วงวัยเจริญพันธุ์

          เอสโตรเจน (Estrogen) 
          หรือฮอร์โมนเพศหญิง จะถูกสร้างขึ้นที่รังไข่ มีหน้าที่เกี่ยวกับการพัฒนาการต่าง ๆ ทางเพศของเด็กหญิงในช่วงวัยเจริญพันธุ์

          อินซูลิน (Insulin) 
          ถูกสร้างและหลั่งจากตับอ่อน มีหน้าที่กระตุ้นการเผาผลาญน้ำตาลเพื่อนำไปใช้ เป็นพลังงานแก่ร่างกาย ระดับของอินซูลินจึงมีผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของร่างกาย

          คอร์ติซอล (Cortisol)
          หลั่งจากต่อมหมวกไตเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อร่างกายต้องตอบสนองต่อสภาวะเครียด การที่มีระดับของคอร์ติซอลสูงเกินไป อาจมีผลรบกวนการเจริญเติบโตตามปกติได้


วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การจัดการศึกษาเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือการเคลื่อนไหว

          เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือการเคลื่อนไหว หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติของแขน ขา หรือลำตัวรวมถึงศีรษะเป็นเด็กที่มีความผิดปกติบกพร่องหรือสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดีเท่าคนปกติแต่ไม่ได้หมายถึงเด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นและเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินแม้ว่าดวงตาและระบบการได้ยินเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายก็ตาม เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือเคลื่อนไหวสามารถสังเกตได้ดังนี้
          1.  ร่างกายเติบโตไม่ปกติ เช่น แขนหรือขาไม่เท่ากันทั้งสองข้าง ลำตัวเล็กผิดปกติอวัยวะผิดรูป เช่น เท้าติด เอวคด หลัง-ลำตัวโค้งงอผิดปกติ แขนขาด้วน
          2.  กล้ามเนื้อผิดปกติ เช่น แขน-ขา ลำตัวลีบ ไม่มีแรงอย่างคนปกติ
          3.  ไม่สามารถเคลื่อนไหวอวัยวะต่างๆ เช่น ไม่สามารถเคลื่อนลำตัว แขน-ขา มือหรือเท้าได้อย่างคนทั่วไป
          4.  ไม่สามารถนั่ง ยืนได้ด้วยตนเอง
          5.  ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ เช่น ไม่สามารถรับประทานอาหาร อาบน้ำ ถอด-ใส่ เสื้อผ้าได้ด้วยตนเอง

การให้ความช่วยเหลือ
          เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวอาจมีความบกพร่องหลายอย่างในบุคคลเดียว การฟื้นฟูสมรรถภาพความพิการจึงจำเป็นต้องมีหลายด้านตามสภาพความบกพร่องของเด็กแต่ละบุคคลซึ่งการบำบัดฟื้นฟูต่าง ๆได้แก่
                    กายภาพบำบัด  เป็นการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายตั้งแต่แรกเริ่มในด้านต่างๆ เช่น การทรงตัว การนั่ง หรือการยืนทรงตัวเพื่อกระตุ้นให้เด็กได้เคลื่อนไหวอวัยวะต่างๆในลักษณะที่ถูกต้อง เป็นพื้นฐานในการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องต่อไป
                    กิจกรรมบำบัด  เป็นการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายเพื่อเน้นให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้มากที่สุด สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีและเร็วที่สุด สามารถอยู่อย่างปกติสุขเช่นคนทั่วไปโดยเน้นทักษะกล้ามเนื้อย่อย เช่น การรับประทานหาร การทำความสะอาดร่างกาย การแต่งตัวเป็นต้น
                    อรรถบำบัดหรือการแก้ไขคำพูด  ในส่วนที่เด็กมีความบกพร่องทางการพูดจะต้องฝึกการควบคุมน้ำลาย การกลืน การเคี้ยวอาหาร ฝึกโดยใช้อุปกรณ์ประเภทเครื่องเล่นที่เกี่ยวกับการออกเสียง เครื่องดนตรีชนิดเป่า การเป่ากระดาษ หรืออุปกรณ์ชนิดอื่นๆให้เด็กได้รู้ว่าคนเราพูดเมื่อเวลาหายใจออกเท่านั้น
                    ศิลปะบำบัดและดนตรีบำบัด  เป็นกิจกรรมเสริมเพื่อพัฒนาเด็กที่มีความแตกต่างกันในด้านต่างๆให้มีการพัฒนาอย่างเหมาะสมตามศักยภาพโดยคำนึงถึงความสนุกสนาน ความต้องการธรรมชาติรวมถึงความจำเป็นของเด็กเป็นรายบุคคล

การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายกับเด็กปกติ
          การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือการเคลื่อนไหวได้แบ่งระดับของกิจกรรมการเรียนไว้ 3 ระดับคือ
1.  ระดับก่อนวัยเรียน  จุดมุ่งหมายสำคัญของการให้การศึกษาแก่เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายคือ การเตรียมความพร้อมของเด็กเพื่อการเรียนร่วม เด็กที่ได้รับการเตรียมความพร้อมแล้วเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จในการเรียนร่วมกับเด็กปกติ ความพร้อมที่ควรจะได้รับการเตรียมในระดับนี้ได้แก่ ความพร้อมในการเคลื่อนไหว การช่วยเหลือตนเอง ทักษะทางสังคมและพัฒนาการทางภาษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เด็กที่มีคงวามบกพร่องทางด้านร่างกายควรได้รับบริการทางด้านการบำบัดควบคู่กันไป การบำบัดที่จำเป็นได้แก่กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัดและการบำบัดทางภาษา
2.  ระดับประถมศึกษา เด็กอาจเริ่มเรียนรวมกับเด็กปกติในลักษณะของการเรียนร่วมเต็มเวลาได้โดยไม่ต้องการการบริการพิเศษเพิ่มเต็ม เช่น เด็กที่ใช้แขนหรือขาเทียม ซึ่งสามารถใช้หรือขาเทียมได้ดี ระดับสติปัญญาปกติและไม่มีความพิการด้านอื่นเด็กประเภทนี้สามารถเรียนร่วมเต็มเวลาได้ เด็กที่มีความสามารถบกพร่องทางร่างกายอื่นก็สามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติได้ หากเด็กได้รับการเตรียมความพร้อมแล้วและทางโรงเรียนจัดบริการเพิ่มเติมให้กับเด็กการพิจารณาจัดเด็กเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติพิจารณาเด็กเป็นรายบุคคล
3.  ระดับมัธยมศึกษา การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาเน้นด้านวิชาการและพื้นฐานด้านการงานและอาชีพหากเด็กมีความพร้อมควรให้เด็กมีโอกาสเรียนร่วมเต็มเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เด็กที่จะเรียนร่วมได้ดีควรเป็นเด็กที่สามารถช่วยตัวเองได้ในด้านการเคลื่อนไหวและการประกอบกิจวัตรประจำวันมีคงวามสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นและมีพื้นฐานอาชีพใกล้เคียงกับเด็กปกติ อย่างไรก็ตามเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายอาจยังต้องการบริการพิเศษ เช่น การบำบัดทางกายภาพ กิจกรรมบำบัด การแก้ไขคำพูดเบื้องต้น การพิจารณาส่งเด็กเข้าเรียนร่วมจะต้องพิจารณาความสามารถและความพร้อมของเด็กเป็นรายๆไป ทั้งนี้เพราะเด็กแต่ละคนมีความสามารถและระดับความพร้อมแตกต่างกัน

การประเมินผล
          การประเมินผล ควรดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนและตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ในแผนการศึกษาเฉพราะบุคคล มีการประเมินผลระยะสั้นทุกภาคเรียน และมีการประเมินผลระยะยาวอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
          การประเมินผลต้องมีผลสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่วางไว้ในแผนการศึกษา มีกานเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเด็กให้มากที่สุด เพื่อให้การประเมินผลมีประสิทธิภาพ และข้อมุลยังจำเป็นสำหรับการวางแผนระยะยาวอีกด้วย