ครูที่สอนเด็กสมาธิสั้น ควรมีสิ่งต่อไปนี้
1. มีความรู้เรื่องเด็กสมาธิสั้น
2. มีความต้องการที่จะรับรู้ลักษณะความต้องการพิเศษของเด็กสมาธิสั้น
3. มีเทคนิคการสอนเด็กสมาธิสั้น
4. มีความสามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาว่าพฤติกรรมใดที่แสดงว่าเด็กทำไม่ได้ พฤติกรรมใดที่เกิดจากการต่อต้าน
5. เลือกวิธีใช้ในการแก้ปัญหาของเด็กและแรงจูงใจให้เด็กเรียน
6. มีความสนใจที่จะทำความเข้าใจเด็กมากกว่าสนใจผลการเรียนของเด็ก
7. ใช้การเสริมแรงทางบวก เช่น จับไหล่ เคาะสมุด เพื่อดึงความสนใจให้มาอยู่ที่แบบเรียนมากกว่าการเสริมแรงทางลบ เช่น เรียกชื่อ ดุ ด่า ว่าประจานในห้องให้อับอาย
8. มีเวลาที่จะเรียกเด็กมาพูดคุยชี้แนะนอกเวลาเรียน
9. พูดคุยกับผู้ปกครองอย่างน้อย 1 ครั้ง / สัปดาห์ หรือจดหมายติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับเด็ก
10. ใช้คำพูดสั้น ๆ บอกแนวทางการทำงานและผลงานที่ครูต้องการ
11 มีความสามารถควบคุมห้องเรียนได้
12 ยอมให้เด็กเคลื่อนไหวในห้องเรียนได้บ้างก่อนทำงานที่มอบหมายเสร็จเรียบร้อย
13 มีข้อตกลงและระเบียบของห้องเรียน
14 เนื้อหาการเรียนขึ้นอยู่กับความสามารถของเด็ก
15 วิชาเรียนที่เด็กสนใจควรจัดให้สลับกับวิชาเรียนที่เด็กไม่สนใจ
1. มีความรู้เรื่องเด็กสมาธิสั้น
2. มีความต้องการที่จะรับรู้ลักษณะความต้องการพิเศษของเด็กสมาธิสั้น
3. มีเทคนิคการสอนเด็กสมาธิสั้น
4. มีความสามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาว่าพฤติกรรมใดที่แสดงว่าเด็กทำไม่ได้ พฤติกรรมใดที่เกิดจากการต่อต้าน
5. เลือกวิธีใช้ในการแก้ปัญหาของเด็กและแรงจูงใจให้เด็กเรียน
6. มีความสนใจที่จะทำความเข้าใจเด็กมากกว่าสนใจผลการเรียนของเด็ก
7. ใช้การเสริมแรงทางบวก เช่น จับไหล่ เคาะสมุด เพื่อดึงความสนใจให้มาอยู่ที่แบบเรียนมากกว่าการเสริมแรงทางลบ เช่น เรียกชื่อ ดุ ด่า ว่าประจานในห้องให้อับอาย
8. มีเวลาที่จะเรียกเด็กมาพูดคุยชี้แนะนอกเวลาเรียน
9. พูดคุยกับผู้ปกครองอย่างน้อย 1 ครั้ง / สัปดาห์ หรือจดหมายติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับเด็ก
10. ใช้คำพูดสั้น ๆ บอกแนวทางการทำงานและผลงานที่ครูต้องการ
11 มีความสามารถควบคุมห้องเรียนได้
12 ยอมให้เด็กเคลื่อนไหวในห้องเรียนได้บ้างก่อนทำงานที่มอบหมายเสร็จเรียบร้อย
13 มีข้อตกลงและระเบียบของห้องเรียน
14 เนื้อหาการเรียนขึ้นอยู่กับความสามารถของเด็ก
15 วิชาเรียนที่เด็กสนใจควรจัดให้สลับกับวิชาเรียนที่เด็กไม่สนใจ
การเตรียมการสอน
การเตรียมการสอนครูจะต้องเตรียมและดำเนินการ ดังนี้
1. งานที่ให้ทำต้องพอเหมาะกับความสนใจของเด็ก ก่อนสอนครูต้องสังเกตความสนใจ ช่วงความสนใจของเด็ก ครูต้องแบ่งงานเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ใช้เวลาไม่เกิน 4 นาทีแล้วให้เด็กทำทีละขั้น เมื่อเสร็จแล้วจึงให้ทำขั้นต่อ ๆ ไปตามลำดับ
2. งานบางอย่างที่เกินความสามารถของเด็กสมาธิสั้นจะทำได้ครบทุกขั้นตอนด้วยตนเอง ครูอาจให้เด็กทำขั้นที่เด็กแน่ใจว่าทำได้ ครูตรวจเมื่อถึงขั้นที่เด็กไม่แม่นยำก่อนที่จะทำต่อไป และเรียกเด็กมาทำตัวต่อตัวเมื่อถึงขั้นที่เด็กยังทำไม่ได้
การเตรียมการสอนครูจะต้องเตรียมและดำเนินการ ดังนี้
1. งานที่ให้ทำต้องพอเหมาะกับความสนใจของเด็ก ก่อนสอนครูต้องสังเกตความสนใจ ช่วงความสนใจของเด็ก ครูต้องแบ่งงานเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ใช้เวลาไม่เกิน 4 นาทีแล้วให้เด็กทำทีละขั้น เมื่อเสร็จแล้วจึงให้ทำขั้นต่อ ๆ ไปตามลำดับ
2. งานบางอย่างที่เกินความสามารถของเด็กสมาธิสั้นจะทำได้ครบทุกขั้นตอนด้วยตนเอง ครูอาจให้เด็กทำขั้นที่เด็กแน่ใจว่าทำได้ ครูตรวจเมื่อถึงขั้นที่เด็กไม่แม่นยำก่อนที่จะทำต่อไป และเรียกเด็กมาทำตัวต่อตัวเมื่อถึงขั้นที่เด็กยังทำไม่ได้
การมอบหมาย
1. ครูควรใช้คำพูดให้น้อยลง พูดช้า ๆ ชัดเจน กระชับ ครอบคลุม ไม่ใช้คำสั่งที่คลุมเครือ ไม่บ่นตำหนิติเตียนจนเด็กแยกไม่ถูกว่าครูให้ทำอะไร
2. ให้เด็กสมาธิสั้นพูดทบทวนที่ครูสั่งหรืออธิบายก่อนลงมือทำ เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กเข้าใจในสิ่งที่ครูพูด และครูเห็นปัญหาว่าเด็กไม่เข้าใจเรื่องใด และเป็นการฝึกให้เด็กพูดถ่ายทอดความคิดของตนเอง
1. ครูควรใช้คำพูดให้น้อยลง พูดช้า ๆ ชัดเจน กระชับ ครอบคลุม ไม่ใช้คำสั่งที่คลุมเครือ ไม่บ่นตำหนิติเตียนจนเด็กแยกไม่ถูกว่าครูให้ทำอะไร
2. ให้เด็กสมาธิสั้นพูดทบทวนที่ครูสั่งหรืออธิบายก่อนลงมือทำ เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กเข้าใจในสิ่งที่ครูพูด และครูเห็นปัญหาว่าเด็กไม่เข้าใจเรื่องใด และเป็นการฝึกให้เด็กพูดถ่ายทอดความคิดของตนเอง
การควบคุมขณะทำงาน
1. ให้เด็กทำงานเป็นขั้นตอน เช่น ทำทีละข้อ หรือทีละหน้า อย่าให้งานจนเด็กรู้สึกว่ามากเกินไป
2. การฝึกให้เด็กควบคุมตนเองเพื่อทำงาน ครูควรควบคุมการทำงานโดยบอกให้เด็กทำงานทีละขั้น เมื่อเด็กทำได้ดีแล้วครูค่อย ๆ ถอนตัวออก แต่ก็อย่าทิ้งไปเลย ควรตรวจการทำงานเป็นครั้งคราว
3. ฝึกเด็กให้ทำงานทีละอย่างให้สำเร็จ แล้วจึงเริ่มงานชิ้นใหม่ต่อไป
4. ให้เด็กทำงานตามเวลาที่กำหนดให้ เมื่อครบเวลาที่กำหนดแล้วถ้ายังไม่เสร็จครูต้องตรวจงานของเด็ก
1. ให้เด็กทำงานเป็นขั้นตอน เช่น ทำทีละข้อ หรือทีละหน้า อย่าให้งานจนเด็กรู้สึกว่ามากเกินไป
2. การฝึกให้เด็กควบคุมตนเองเพื่อทำงาน ครูควรควบคุมการทำงานโดยบอกให้เด็กทำงานทีละขั้น เมื่อเด็กทำได้ดีแล้วครูค่อย ๆ ถอนตัวออก แต่ก็อย่าทิ้งไปเลย ควรตรวจการทำงานเป็นครั้งคราว
3. ฝึกเด็กให้ทำงานทีละอย่างให้สำเร็จ แล้วจึงเริ่มงานชิ้นใหม่ต่อไป
4. ให้เด็กทำงานตามเวลาที่กำหนดให้ เมื่อครบเวลาที่กำหนดแล้วถ้ายังไม่เสร็จครูต้องตรวจงานของเด็ก
การจัดห้องเรียน
เขียนข้อตกลง ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ถอดรองเท้าก่อนเข้าห้องเรียน ไม่วิ่งเล่นในห้องเรียน ส่งการบ้านที่นี่ เป็นต้น
ข้อตกลงควรมีลักษณะเข้าใจง่าย เขียนสั้น ๆ เฉพาะที่สำคัญ แน่นอนไม่เปลี่ยนไปมา ทบทวนข้อตกลงบ่อย ๆ ลงโทษตามที่ตกลงกันไว้ ให้เจตคติทางบวก เป็นต้น
จัดหาที่วางของในห้องเรียนในตำแหน่งเดิม เพื่อให้เด็กจำง่ายว่าจะวางอะไรไว้ที่ใด วางให้เป็นที่เป็นทาง
สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนรู้ขอบเขตความประพฤติของตนเอง
เขียนข้อตกลง ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ถอดรองเท้าก่อนเข้าห้องเรียน ไม่วิ่งเล่นในห้องเรียน ส่งการบ้านที่นี่ เป็นต้น
ข้อตกลงควรมีลักษณะเข้าใจง่าย เขียนสั้น ๆ เฉพาะที่สำคัญ แน่นอนไม่เปลี่ยนไปมา ทบทวนข้อตกลงบ่อย ๆ ลงโทษตามที่ตกลงกันไว้ ให้เจตคติทางบวก เป็นต้น
จัดหาที่วางของในห้องเรียนในตำแหน่งเดิม เพื่อให้เด็กจำง่ายว่าจะวางอะไรไว้ที่ใด วางให้เป็นที่เป็นทาง
สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนรู้ขอบเขตความประพฤติของตนเอง
การจัดที่นั่ง
1.1 จัดให้นั่งข้างหน้า หรือ แถวกลาง
1.2 ไม่อยู่ใกล้ประตูหรือหน้าต่างที่มองเห็นข้างนอกห้องเรียน
1.3 จัดให้นั่งใกล้ครูเพื่อดูแลได้อย่างใกล้ชิด
1.4 ไม่ให้เพื่อที่ซุกซนชอบเล่นนั่งอยู่ใกล้ ๆ
1.1 จัดให้นั่งข้างหน้า หรือ แถวกลาง
1.2 ไม่อยู่ใกล้ประตูหรือหน้าต่างที่มองเห็นข้างนอกห้องเรียน
1.3 จัดให้นั่งใกล้ครูเพื่อดูแลได้อย่างใกล้ชิด
1.4 ไม่ให้เพื่อที่ซุกซนชอบเล่นนั่งอยู่ใกล้ ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น